แนะนำเพิ่มเติม

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คืนแรกในป่าช้า

คืนแรกในป่าช้า
     หลวงปู่ชา สุภัคโท วัดป่าพง จังหวัดอุบล เล่าเรื่องความกลัว(ผี)
ครั้งแรกในป่าช้า ครั้งแรกที่กลัวสุดขีด
เกิดมาก็กลัวผีแล้วไม่เคยเห็นดอกแต่กลัว ความกลัวของหลวงปู่ชานั้นท่านกลัวจริงๆ กลัวจนแทบเสียสติ รู้ทั้งรู้ว่ากลัวแต่ท่านจะเอาชนะความกลัวในใจมีทั้งเดินหน้าสู้และถอยหลังไม่เอา จิตมันเถียงกันทั้งวันทั้งคืน สู้ ...ไม่สู้..สู้..
   เรื่องความกลัวหลวงปู่ชาท่านเล่าเอง ท่านบอกว่าท่านเป็นพระที่กลัวผีมากที่สุด มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากท่านบวชเป็นพระแล้วได้ออกปฏิบัติธรรมกัหมู่คณะคืนแรกปักกลดกลางป่าดงพงทึบตรังนั้นวังเวงมากบรรยากาศชวนขนหัวลุก
   กลดของหมู่คณะก็ปักอยู่ห่างกันพอตะโกนถึงกันได้ ตอนที่ตะวันยังไม่ลับฟ้าพอมีแสงตะวันรำไรก็ไม่เท่าไร แต่หลังตะวันตกดินมันน่ากลัวไปหมด ขณะนั่งภาวนาอยู่ภายในกลดก็มีฝูงหมาป่ามันมาล้อมกลดมันทั้งขู่ทั้งแยกเขี้ยและเห่าจะกระโจนเข้ามาในกลดให้ได้
   กลัวก็กลัวเพราะหน้าตาของพวกมันน่ากลัว
ก็มันเล่นตีวงล้อมกลดไว้จะรุมกินโต๊ะ ท่องพุทโธๆๆ มันก็ยังไม่ยอมหนีก็เลยนั้งหลับตาไม่มองมันละมันจะทำอะไรก็ช่างหัวมัน ในขณะเดียวกันก็กำหนดจิตอธิฐานไปว่า
    ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร มาเพื่อต้องการบำเพ็ญความดีมุ่งต่อความพ้นทุกข์ ถ้าหากเราเคยมีกรรมต่อกันมาก็ขอให้กัดข้าให้ตายเถิด เพื่อเป็นการชดใช้หนี้กรรมเก่า แต่ถ้าไม่มีเวรมีภัยใดๆ ต่อกันแล้วก็ขอให้หลีกไป
    พวกหมาป่ากระหายเลือดเหล่านั้นก็ไม่ยอมไป แต่ท่านก็ภาวนาไปสักพักหนึ่งก็เห็นหลวงปู้่มั่นฉายไฟแว่บๆ เดินมาพอมาถึงฝูงหมาป่าท่านก็ตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
    "ไป๊! พวกสูจะมาทำอะไรเขาอยู่ที่นี่เล่า"
ก็ไม่รู้ว่าหมาป่าที่มาล้อมกลดเหล่านั้นเป็นพวกปีศาจจำแลงหรือเปล่า เพื่อทดสอบจิตของหลวงปู่ชาว่าจะมีความมั่งคงแค่ไหนอย่างไร และที่แปลกใจทำไมพวกหมาป่าพวกนั้นจึงกลัวหลวงปู่มั่นจนแตกกระเจิงหนีไป
   ท่านพูดพร้อมกับเงื้อท่อนไม้ขึ้นทำท่าจะตีพวกหมาป่า เห็นท่าหลวงปู่มั่นมาช่วยจริงๆ ก็เลยลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นว่ามีอะไรมีแต่ความว่างเปล่าและความเงียบสงัด หลวงปู่บอกว่านี่เป็นครั้งแรกและคืนแรกที่ออท่องเที่ยวธุดงค์
   พอรุ่งเช้าท่านกับคณะได้เดินทางท่องเที่ยวไปจนถึงวัดโปร่งคลอง ซึ่งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์คำดีก็เลยขอเข้าพักเพื่อบำเพ็ญภาวนาด้วยช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูแล้งพื้อดินหน้าแล้วจะแห้งเหมาะแก่การพักตามโคนไม้ภาษาพระป่าเรียกว่่า "รุกขมูล"
   พระบางรูปในสำนักปฏิบัติธรรมของหลวงปู่คำดีก็จะออกไปปฏิบัติภาวนาในป่าช้า เพื่อกาความวิเวก หลวงปู่ชาท่านเป็นพระบวชใหม่ยังไม่เคยสัมผัสเรื่องราวแปลกๆ จึงอยากจะลองดูบ้าง เพราะถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ว่ารสชาติชองการอยู่ในป่าช้านั้นเป็นอย่างไร จะมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมจริงหรือไม่
   มีแต่หลุมฝังศพน่ะเฮ้ย....
   ที่ตรงนั้นมีแต่ผีนะเฮ้ย...ไม่กลัวหรือ
  อีกใจหนี่งมีความรู้สึกค้านขึ้นมาไม่อยากจะไปเพราะความกลัวยังฝุงอยู่ในจิต แต่ในที่สุดท่านก็บังคับตัวเองให้ไปจนได้ ที่นี่พอตกตอนบ่ายๆความรู้สึกกลัวก็ถาโถมเข้ามาอีก นั่นคือกลัวไม่อยากจะไปจะทำยังไงก็ไม่ได้ บอกให้ไปมันก็ไม่ไป ควรมคิดหนึ่งผุดขึ้นมาชวนเอาตาปะขาวแก้วไปด้วยเพื่อเป็นเพื่อน
    ไปให้มันตายเสีย ถ้าหากจะถึงที่ตายก็ให้มันตายเสีย มันลำบากนัก โง่นักก็ให้มันตายเสีย พูดอยู่ในใจอย่างนี้ทั้งที่ใจก็ไม่อยากจะไปนั่นแหละแต่ก็บังคับ มันจะรอให้พร้อมหมดทุกอย่างมันไม่พร้อมหรอกถ้าอยางนั้นก็ไม่ได้ทรมานมัน
    ต้องพามันไปโอ๊ย ....พอไปถึงป่าช้าแล้วไม่เคยเลยในชีวิตไม่เคยอยู่ป่าช้า ตาปะขาวแก้วจะมาอยู่ใกล้ๆ เป็นเพื่อนเหมือนกัน แต่กลัวจิตจะไปยึดคิดว่ามีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ มันจะไม่กลีวก็เลยไม่เอาให้ตาปะขาวแก้วหนีไปไกลๆเดี๋ยวตัวเองจะไปติดอาศัยเขา
   กลัวนักก็ให้มันตายเสีย คืนนี้มันเป็นยังไง ทั้งกลัว ทั้งทำน่ะ ไม่ใช่ไม่กลัวแต่ก็กล้า อย่างมากก็ถึงตายเท่านั้นแหละ พลบค่ำลงไปสักนิดก็พอดีเลยโชคดี พวกชาวบ้านกามศพโตงเตงๆมาทีนี่หือ!  ทำไมจึงเหมาะกันอย่างนี้ โอย!...เดินไปก็ไม่รู้สึกว่าเท้ามันแตะพื้นดินเลยที่นี่ทำไงดี หนี!...
    เขานิมนต์ให้ไปมาติกา ไม่ไปมาติกาให้ใครทั้งนั้นแหละ หนี!....ไปได้สักพักหนึ่งก็กลับมา เขาก็ยิ่งเอาศพมาฝังไว้ใกล้ๆ ที่ปักกลด ไม้ไผ่ที่เขากามศพมาเขาก็เอามาสับๆ เป็นฟากทำเป็นแคร่ให้นั่ง หือ!... จะทำอย่างไรล่ะที่นี้
   หมู่บ้านกับป่าช้าก็อยู่ห่างกันประมาณ 2-3 กิโลเมตร โน่นแหละ คราวนี้มีแต่ตายกับตายเท่านั้นแหละ ที่นี้จะทำยังไง ก็ยอมตายเท่านั้นแหละตาปะขาวแก้วจะมาอยู่ไกล้ๆ ก็ไล่ให้ไป ให้มันตายเสียทำมัมมันกลัวเอานักเอาหนา
   ที่นี่จะได้สนุกันแหละ ไม่กล้าทำไม่กล้าเผชิญก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอย่างไร โอ๊ย!... ช่างมีรสชาติจริงๆ เดินก็แทบจะไม่รู้สึกว่าเท้าแตะดิน มื่ดๆ ลงจะไปที่ไหนล่ะที่นี้อยู่กลางป่าช้าโน่น เอ้า!...ให้มึงตายมึงเกิดมาตายมิใช่หรือต่อสู้กันอยู่อย่างนั้นแหละ
    พอตะวันลับขอบฟ้าไป ความรู้สึกก็บอกให้เข้าไปอยู่ในกลด เดินก็ก้าวขาไปไม่ออกความรู้สึกเร่งเร้าให้เข้าไปอยู่ในกลด เดินจงกลมอยู่หน้ากลดไว้ค่อยยังชั่วแต่พอหันหลังกลับเดินไปไม่รู้เป็นยังไง เหมือนกับมีอะไรมาดึงทางด้านหลังเย็ยวูบๆ วาบ(เหมือนผีเป่าตรงท้ายทอย) อย่างนี้แหละฝึกหัด
   กลัวมากเกินไม่ได้ก้าวขาไม่ออกก็หยุด กายแล้วก็เดินต่อไป เมื่อมือลงพอสมควรก็เขช้าไปอยู่ในกลดรู้สึกโล่งไปเป็นกองสบายใจเหมือนกับอยู่ในกำแพง 7 ชั้น เห็นบาตรตัวเองใบเดียวก็เหมือนกับเพื่อน บาตรก็เป็นเพื่อนได้
   คนไม่มีเพื่อนก็นึกเอาบาตรเป็นเพื่อนมองเห็นบาตรตัวเองก็รู้สึกดีใจ จิตมันไม่มีที่พึ่งเลยไปพึ่งบาตรนี่แหล่ะเราจะได้รู้จิตของเรา นั่งอยู่ในกลด เผ้าสังเกตดูผีหลอกอย่ตลอดคืนจนสว่างไม่ได้หลับได้นอนแม่แต่สักนิดเลย ความง่วงมันก็กลัวผีหลอกเหมือนกันนั่งอยู่ตลอดทั้งคืนอย่างนั้นแหละ ใครล่ะจะกล้าทำ เรื่ององการปฏบัตินี้ ถ้าจะเอาตามใจของตัวเองแล้วใครล่ะจะทำ  มันกลัวถึงขนาดนี้น่ะทุ่กสิ่งทุกอย่างถ้าเราไม่ทำมันไม่เกิดประโยชน์เพราะไม่ไ้ปฏิบัตินี่แหละเราได้ปฏิบัติ
    พอรุ่งเช้าโอ๊ย! ...รู้สึกดีใจมาก ไม่ตายแล้วเราที่นี้รู้สึกสบายใจจริงๆ อยากให้มีแต่กลางวันทั้งหมด ไม่อยากให้มีกลางคืน ความรู้สึกภายในใจอยากฆ่ากลางคืนทิ้ง อยากให้มีแต่กลางวันสบายใจ อือ  ไม่ตายแล้วเราครั้งนี้

  ตอนกลางวันไ้พักบ้างนิดหน่อย ใจดีไปได้ประมาณ 50 % คิดว่าไม่มีอะไรมีแต่ความกลัวเฉยๆ คืนที่สองก็คิดว่าจะภาวนาให้สบาย เพรามันผ่านมาแล้วคืนนี้ก็ไม่เห็นมีอะไร
   ได้ทดลองไปบิณฑบาตรคนเดียว สุนัขวิ่งตามหลังมามันจะกัด เอ้า  ไม่่ไล่มันแหละให้มันกัดเสีย มีแร่เรื่องจะตายทั้งนั้นแหละ มันงับแล้วงับอีก โดนมั่งไม่โดนมั้งรู้สึกแปลบๆ ปลาบๆ บางที่ก็นึกว่าปลีแข้งขาดไปอย่างนั้นแหละ
  แม่ออ (โยมผู้หญิง) ชาวผู้ไทก็ไม่ช่วยจับสุนัข เพราะคิดว่ามีผีมากับพระมันจึงเห่าและไล่กันผีก็เลยปล่อยๆ ไม่ไล่มันแหละให้มันกัดเสีย เมื่อคืนนี้ก็กลัวเกือบแทบจะตายอยู่แล้วพอตอนเช้าสุนัขมาไล่กัดอีก ก็ให้มันกัดเสีย ถ้าแต่ก่อนเราเคยได้กัดมัน แต่มันงับผิดงับถูกไปอย่างนั่นเอง นี้แหละเราฝึกหัดตัวของเรา
      บิณฑบาตได้มาฉันพอฉันจังหันเสร็จก็ดีใจ แดดออกมา้างรู้สึกอบอุ่นได้พักผ่าอนพอควรแล้วก็ฌเดินจงกรม ตอนเย็นก็คงจะภาวนาดีแหละที่นี้ได้ทดลองมาแล้วคืนหนึ่ง คงจะไม่เป็นอะไร
   ที่นี่พอตกตอนบ่าย  เอาอีกแล้ว หามมาอีกแล้ว ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่เสียด้วสิ ที่นี้ยิ่งหนักเข้าไปอีกเอามาเผาอยู่ใกล้ๆ ข้างหน้าที่ปักกลดเสียด้วยซ้ำ โอย   ยิ่งร้ายกว่าเมื่อคืนวานนี้เสียอีก ดูเหมือนเขาจะมาเผาเขาช่วยกัน
   แต่เขาให้ไปพิจารณาศพไม่ไป พอเขากลับหมดแล้วจึงไป โอ๊ด!.... เขากลับไปหมดแล้ว เผาผีให้เราดูอยู่คนเดียวไม่รู้จะทำยังไงล่ะ โอ๊ด  ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบมาเที่ยบให้ฟังได้ เรื่องความกลัวนี่ยิ่ิงกลางคืนด้วยสิ
   ไฟที่กองฟอนเอาศพเขียวๆ แดงๆ พึ่บพั่บ ลุกบ้างไม่ลุกบ้างจะเดินจงกรมไปข้างหน้าด้ายกองฟอนก็ไปไม่ได้ พอมือสนิทก็เข้าในกลดเหมือนเดิม อยู่ในป่าช้ารกๆ เหม็นกลิ่นควันไปเผาศพทั้งคืนเลยยิ่งร้ายกว่าเมื่อวานนี้อีก ไฟลุกพรึ่บๆ พรึ่บๆ
    นั่งหันหลังให้กองไฟจะบังเอิญอะไรไมรู้ตอนนั้นดึกประมาณ 4 ทุ่มมีเสียงดังอยู้่ข้างหลังในกองไฟดังทึ่งทั่งๆ สงสัยศพกลิ้งตกลงมานอกกองฟอน สุนัขจิ้งจอกมันมาแย่งกันกัดกินซากศพหรือยังไงหนอ แต่ก็ไม่ใช่ นั่งฟังอยู่ ฟังไปอีกคล้ายเสียงครือคราดๆ อยู่อย่งนี้ เอ้า  ช่างหัวมันเถอะ อีกสักครู่ก็เดินเข้ามาหาเหมือนเสียงของคนเดินเข้ามาทางด้านหลัง
   อีหยังน้อ  อะไรหนอ
   เดินหนักๆ เหมือนควายก็ไม่ใช่ควาย ตอนนั้นประมาณเดือนสามใบไม้กำลังร่างบริเวณนั้น ใบกุง(ใบตองตึง) ร่วงกองกันอยู่เกลื่อนกล่นฟังดูได้ยินเสียงเหยียบใบกุงใบใหญ่เสียงหนักๆดังโคบๆ บริเวณข้างที่ปักกลดมีจอมปลวกอยู่ลูกหนึ่ง ได้ยินเสียงเดินอ้อมจอมปลวกเข้ามาหาก็เลยนึกว่า
   มันจะเข้ามาทำอะไรก็สุดแล้วแต่ เพราะเรายอมตายแล้วน่ จะคิดหนีไหไหน แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไมเข้ามา ออกไปข้างหน้าโน้น มันเดินไปทางตาปะขาวแก้วก็คิดว่ามันคงไปกาตาปะขาวแก้วแน่นอนมันเดินหายไปจนเงียบไม่ได้ยินเสียงเดินเพราะเดินไกลออกไปจึงไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร เพราะตอนนั้นมีแต่ความกลัวจึงทำให้คิดไปหลายอย่าง
   นานประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ได้ยินเสียงเดินกลับมาอีกแล้ว เดินกลับมาจากตาปะขาวแก้ว เหมือนเสียงคนจริงๆ เดินตรงเข้ามา ตรงดิงเข้ามาเหมือนจะเข้ามาเหยียบพระอย่างนั้นแหละ จึงนั่งหลับตาอยู่อย่างนี้แหละ

  จะไม่ยอมลืมตาดูมันละจะตายก็ให้มันายอยู่อย่างนี้แหละ พอเดินมาถึงก็หยุดกึ๊ก นิ่งเงียบอยู่ข้างหน้ากลด รู้สึกเหมือนกับว่ามันเอามือที่ถูกๆฟไหม้มาความไปมาอยู่ตรงหน้าอย่างนั้นแหละ โอ๊ย   ตายคราวนี้แหละ
   ตัวแข็งทื่อไปหมดลืม พุทธโธ ะัมโม สังโฆ หมดมุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ความกลัวอยางเดียวเต็มตื้นอยู่ในความรู้สึกอัดแน่นตรึงอยู่เหมือนกลองคอดไปไหนก็ไม่ไป มีแต่ความกลัว คิดไปคิดไปถึงครั้งวันเกิดมาไม่เคยมีเลยที่จะกลัวเอามากมายถึงขนาดนี้
   ไม่รู้จักพุทโธ ธัมโม สังโฉอะไรเลยแน่นตรึงอยู่เหมือนกลองเพล เอ้า  มึงอยู่อยางนี้ กูก็จะอยู่อย่างนี้ ่ความคิดมันไม่ออกไม่เข้า ไม่รู้ว่าที่นั่งนี่นั่งอยู่บนอาสนะหรือลอยอยู่บนอาสนะก็ไม่รู้เหมือนกัน มีแต่กำหนดผู้รู้ไว้อย่างเีดียวเท่านั้น
   มันกลัวมากๆ ก็คงเหมือนตักน้ำใน่ตุ่มตักใส่มากๆ มันก็เลยล้นปากตุ่มออกมาคงจะเป็นอยางนั้นมันกลัวมาก กลัวมากๆ เลยถามตัวเองว่าที่มึงกลัวๆ นี่มึงกลัวอะไรทำไมถึงกลัวเอาหนักหนา ไม่ได้พูดออกใจมันพูดของมันเอง

   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น